แม้ความขาวจะเป็นส่วนหนึ่งที่สาวๆ ในสังคมแห่งค่านิยมต้องการไขว่คว้าให้ตัวเองได้มีผิวที่ดูมีเสน่ห์และเปล่งประกายอย่างในโฆษณาที่พยายามประโคมค่านิยมเหล่านี้ให้แก่พวกเธออยู่ในทุกๆ วัน ความขาวจึงไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพผิวธรรมชาติอีกต่อไป
เมื่อใครอยากขาวก็สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยสร้างวิธีทำให้ขาวได้อย่างง่ายๆ ทว่าหลายคนไม่รู้ถึงที่มาอันตรายของสารบางชนิด โดยเฉพาะ “น้ำยาลอกผิว” ที่กำลังได้รับความนิยมในท้องตลาด ความขาวที่เดินทางมาแบบรวดเร็วเช่นนี้…ย่อมเป็นดาบสองคมที่คนรักความสวยความงามควรตระหนักให้ดีก่อนตัดสินใจค่ะ
กระบวนการลอกผิวขาวด้วยสารเคมี
แน่นอนว่าการลอกผิวไม่สามารถใช้สารสมุนไพรเป็นตัวช่วยได้นอกจากการปรุงแต่งที่มาจากสารเคมี ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเซลล์ผิวชั้นนอก วิธีนี้ถูกนำมาใช้ในคลีนิคเสริมความงาม หลักการของมันคือการกำจัดเอาผิวด้านนอกซึ่งเป็นผิวหนังกำพร้าออกไป เหมือนกับการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เผยผิวชั้นในที่ขาวใสและมีความเรียบเนียน
กระบวนการนี้ถือว่าเป็นการทำร้ายผิวขั้นรุนแรง แม้ว่าผิวจะแลดูขาวขึ้นทว่ามันคืออันตรายที่แฝงเร้นอยู่อย่างน่ากลัว ไม่นานผิวที่ขาวจากการลอกจะค่อยๆ บางลง และไม่สามารถทำให้ผิวขาวเนียนได้อย่างถาวร ดังนั้นการลอกผิวจึงจะต้องมีการทำเรื่อยๆ ตามสภาพผิวที่หมองลง ส่งผลให้เกิดการสะสมของสารพิษเข้าสู่ร่างกายและเกิดอาการแพ้ตามมาได้เมื่อผิวเริ่มอ่อนแอ
ส่วนผสมอันตรายจากน้ำยาลอกผิวที่ควรรู้
สำหรับส่วนผสมหลักของน้ำยาชนิดนี้คือกรดไตรคลออะซีติกหรือกรดโคลิก (TCA) ผสมด้วยสีผสมอาหาร ยาชาเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวรู้สึกแสบร้อนจนเกินไป สารเคมีชนิดนี้มักเป็นส่วนประกอบที่พบได้จากผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดที่มีราคาถูก มีคุณสมบัติในการกัดกร่อนผิวในระดับที่รุนแรง ถือว่าเป็นวิธีทำให้ขาวที่อันตราย หลังจากทาครีมไปสักพัก ไม่นานผิวที่หมองคล้ำจะกลายเป็นสีขาวอมชมพูและมีอาการระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้นจากผลของยาชา ผิวที่แพ้จะขาวแบบซีด อีกทั้งบางรายยังพบอาการแสบร้อนหรือเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ในภายหลัง
สรุปแล้วการลอกผิวไม่ใช่วิธีที่จะช่วยสร้างความขาวให้กับผิวพรรณของเราได้อย่างถาวร อีกทั้งยังมีอันตรายแฝงที่ไม่ควรเอาชีวิตของเราเข้าไปเสี่ยง เพียงแค่เปลี่ยนความคิดตัวเอง และหันมาดูแลสุขภาพตามแบบธรรมชาติ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวขาวใสและดูเปล่งประกายได้โดยไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่ความขาวเสมอไปหรอกค่ะ